หิรัณย์ไม่แน่ใจว่าตัวเองกัดฟันจนสึกไปแค่ไหนแล้ว ตั้งแต่มายืนหน้าคอกของม้าสาวเจ้าของชื่อเอ.เค.เอ. ไดมอนด์ริง
ไดมอนด์ริงอยู่ในช่วงท้องแก่ใกล้คลอด และตอนนี้หมอม้าคนเก่งที่ตรวจไดมอนด์ริงอยู่ก็ตั้งท้องเช่นกัน อายุครรภ์สิบเจ็ดสัปดาห์แล้ว หิรัณย์คงไม่กัดฟันแน่นขนาดนี้ถ้าไม่เพราะหมอม้าคนนั้นเป็นภรรยาเขา และเด็กในท้องนั่นก็ลูกเขา
“แซม รอคำนับมาช่วยจับก่อนก็ได้”
จบประโยคนั้นสุมิตราก็หันมามองด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย ชัดเจนชนิดที่ทำให้หิรัณย์ต้องเม้มปาก… เขาถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้สุมิตราเวลาเจ้าหล่อนทำงาน ห้ามกระทั่งไม่ให้เข้าไปในคอก ต้องรออยู่ด้านนอกเท่านั้น ต้นเหตุมาจากเขาดุคาเวียร์อย่างหนักแบบที่สุมิตราหันกลับมาดุเขาอีกทีว่าทำเกินกว่าเหตุ หลังจากเจ้าม้าจอมซนเล่นแรง เอาหน้าดันจนสุมิตราเซไปหลายก้าว เขาก็ผวากลัวเจ้าหล่อนจะล้ม ซึ่งหากเป็นปกติเขาคงหัวเราะได้นั่นแหละ แต่ตอนนี้มันไม่ปกติไง!
“อยากโดนห้ามมากกว่านี้เหรอ”
หิรัณย์ย้อนทันที “งั้นก็ให้ผมจับม้า”
“ไม่ต้องเลย”
“แซมก็รู้ว่าผมจับม้าเก่งกว่าทุกคนในคอก”
สุมิตราถอนใจเฮือก “เรื่องนั้นไม่เถียงหรอก แต่ตอนนี้หินแพนิกจนใกล้บ้าแล้ว ม้าขยับตัวนิดหน่อยก็นอยด์ไปหมดจะยิ่งทำม้าประสาทเสียไปด้วย… ไม่ต้องตามมาดูตอนแซมทำงานดีไหม”
หิรัณย์ตอบทันควัน “แบบนั้นได้บ้าจริงๆ แน่”
“งั้นก็ต้องปล่อยให้แซมทำงาน” พูดไปแล้วเห็นสีหน้าเขา สุมิตราก็อดขำไม่ได้ รู้เลยว่าตอนนี้เขาใกล้เคียงกับคำว่าอกสั่นขวัญแขวนแค่ไหน ห่วงม้าท้องใกล้คลอดก็ห่วง กลัวเธอจะเกิดอุบัติเหตุก็กลัว “ไดมอนด์ริงใกล้คลอดแล้ว ถ้าไม่ให้แซมดูจะให้ใครดู รุตก็ทัวร์เคสอยู่แถบอีสาน”
และอีกอย่างที่สุมิตราแน่ใจ เขาเคารพและไว้ใจเธอที่สุดแล้วในเรื่องการดูแลรักษาม้า ถ้าเธอไม่ตั้งครรภ์อยู่ในตอนนี้หิรัณย์คงไม่มีปัญหา ขนาดมีปัญหาเขาก็ยังอยากให้เธอเป็นคนดูแลไดมอนด์ริงอยู่ดีแต่ก็กลัวจะมีอันตรายกับเธอไปด้วย สงสารคนที่กำลังจะได้เป็นปู่ม้าและเป็นพ่อคนอย่างหิรัณย์จริงๆ
หลังเงียบอยู่ครู่หนึ่ง หิรัณย์ก็พูดเสียงอ่อย “ไดมอนด์ริงไม่น่ามีปัญหา เราเตรียมตัวให้เขาดีมากๆ ตั้งแต่ก่อนเขาท้องอีก”
แน่ละ สุมิตราจะไม่ยอมทำให้เสียชื่อโรเบิร์ตเด็ดขาด โชคดีว่าสวัสดิภาพพื้นฐานของม้าที่นี่อยู่ระดับดีเลิศอยู่แล้ว หญ้าที่ให้ม้ากินได้ตลอดเวลาเป็นหญ้าที่มีคุณภาพ สอดมือเข้าไปในกองหญ้าเพื่อสุ่มตรวจสอบไม่ว่าครั้งไหนก็ไม่พบหญ้าที่ต้องเก็บออก หญ้ามีกลิ่นหอมและไม่ขึ้นรา อาหารเม็ดหรืออาหารข้นที่แสงฉานพัฒนาปรับปรุง โดยได้รับความร่วมมือจากโรเบิร์ตก็คัดสรรวัตถุดิบที่จำเป็นและสำคัญสำหรับม้า ไม่มีส่วนประกอบตัวไหนที่ใส่เข้ามาเพียงเพื่อประโยชน์ในด้านการโฆษณาเพียงอย่างเดียว อาหารเสริมอย่างพวกเกลือแร่ แร่ธาตุต่างๆ ก็มีครบ อาจมีแร่ธาตุบางตัวที่ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ เพื่อสะสมอยู่ในร่างกายม้า แต่ไดมอนด์ริงเองก็มาจากคอกที่โรเบิร์ตการันตีว่าดูแลม้าดี ตรงนี้จึงวางใจได้
เมื่อแน่ใจว่าจะให้ไดมอนด์ริงเป็นแม่ม้าที่อุ้มท้องลูกของลูมอส ม้าที่ถือเป็นลูกชายคนโปรดของหิรัณย์ ให้ทั้งคู่ทักทายทำความรู้จักกันจนแน่ใจว่ารักใคร่ชอบพอกันดีแล้ว สุมิตราก็นับวันรอไข่ตก โดยสังเกตถึงสองรอบเดือน จากนั้นอัลตราซาวด์ซ้ำเพื่อความแน่ใจ เพราะตั้งใจให้ขึ้นผสมครั้งเดียวเท่านั้น เนื่องจากหากมีการผสมเยอะเกินไปจะเสี่ยงต่ออาการมดลูกอักเสบจากการติดเชื้อได้ ระหว่างนั้นก็ดูแลเรื่องโปรตีนและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับแม่ม้า ด้วยถูกโรเบิร์ตกรอกหูอยู่เสมอว่าการดูแลแม่ม้าควรดูแลตั้งแต่ก่อนท้อง ในระยะที่ตั้งท้องก็ต้องเฝ้าระวัง เพราะหากแร่ธาตุไม่เพียงพอ แม่ม้าจะสลายแร่ธาตุจากกระดูกและกล้ามเนื้อของตัวเองให้ลูกม้า ลูกม้าเองก็อาจมีปัญหาในระยะยาวเกี่ยวกับข้อ กระดูก และเส้นเอ็น
เรื่องนูทริชั่นหรือโภชนาการในแม่ม้าเป็นเรื่องที่เจ้าของม้าส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญมากนัก ถ้าเป็นคอกอื่นสุมิตราทำได้เพียงให้คำแนะนำอย่างละเอียด ให้ทางเลือกต่างๆ ถ้าเจ้าของมาพูดคุยว่าทางนี้ทำไม่ได้ เธอก็จะแนะนำทางอื่น แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็อาจมีบางรายที่จบลงด้วยการ ‘ไม่เอาสักทาง’ ซึ่งสุมิตราต้องพยายามทำใจและเตรียมเรื่องการดูแลรักษาให้ต่อ แต่กับที่นี่สุมิตราจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น
ไม่ใช่แค่เธอหรอก ว่าที่คุณปู่อย่างหิรัณย์เองก็เช่นกัน กับลูกม้าตัวแรกที่จะถือกำเนิดในคอกทริปเปิลเอชแล้ว ทางที่หิรัณย์เลือกคือทางที่ ‘ดีที่สุด’ เสมอ เขาวิดีโอคอลล์กับโรเบิร์ตเป็นชั่วโมงเพื่อฟังเลกเชอร์เรื่องการดูแลแม่ม้า ปรึกษาสุมิตราก่อนทุกครั้งที่จะทำอะไรกับไดมอนด์ริง จะบอกว่าบ้าเห่อก็ยังได้ แต่ก็ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่เห่อ สุมิตราเองก็เช่นกัน ตั้งแต่เข้าเดือนนี้ซึ่งถือเป็นเดือนที่เธอคาดการณ์ไว้ว่าไดมอนด์ริงจะคลอด เธอก็มาตรวจเช็กไดมอนด์ริงทุกวันทั้งเพื่อดูสุขภาพโดยรวมและดูสัญญาณต่างๆ ของแม่ม้า เช่น มีอาการกระวนกระวายหรือไม่ กินอาหารน้อยลงหรือเปล่า เต้านมมีแวกซ์เคลือบหรือมีน้ำนมไหลออกมาไหม ซึ่งเหล่านั้นก็ทำหิรัณย์ประสาทเสียทุกวัน
“ผมว่าแซมไม่ต้องเช็กทุกวันก็ได้”
“แล้วถ้ามันเกิดอะไรไม่ดีขึ้นในวันที่แซมไม่ได้เช็กล่ะ”
หิรัณย์นิ่งไป มองหน้าไดมอนด์ริง มองสุมิตราแล้วบอกเสียงเบา “อีกไม่กี่วันพี่ซันก็มาไม่ใช่เหรอ”
“แต่วันนี้ซันยังไม่มาไง”
หิรัณย์ถอนใจเฮือก ก่อนหันไปทำหน้านิ่วใส่คนมาใหม่ ถามเสียงเข้ม “ทำไมมาช้า”
คำนับซึ่งสัมผัสอารมณ์อันไม่โสภาของเจ้านายได้ถึงกับหน้าจ๋อย ทว่า…
“หิน…” เสียงเรียกแผ่วเบาแต่เย็นเยียบนั้นทำให้หิรัณย์จ๋อยตามคำนับไปติดๆ รู้ตัวด้วยว่าตนพาลใส่คำนับ จึงถอนใจเฮือก ก่อนหันไปพูดกับคำนับด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นกว่าเมื่อกี้ “โทษที… เข้าไปช่วยหมอจับม้าหน่อย”
คำนับยิ้มได้ รีบเข้าไปในคอกม้าเพื่อทำตามคำสั่ง ทั้งๆ ที่ในใจอดคิดไม่ได้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องมาช่วยเลย ไดมอนด์ริงเป็นม้าที่นิ่งและรู้งานอย่างมาก เมื่อมีคนอยู่ใกล้ๆ จะยืนนิ่งๆ ถ้าอยากให้ยกขาไหนก็เพียงสะกิดที่ขานั้นแล้วเดาะปากหนึ่งที ก็ยกให้ราวกับเป็นระบบเปิดปิดด้วยสวิตช์ ถ้าอยากให้กอดก็แค่เข้าไปกอดคอ คนอื่นๆ เรียกแซวกันว่าไดมอนด์ริงเป็นม้ารีโมต อยากให้ทำอะไรแค่กดปุ่มก็ได้ดั่งใจทุกอย่าง แต่คำนับก็เข้าใจได้ เขาเป็นคนเลี้ยงม้าของที่นี่ เห็นได้ชัดเจนว่าตั้งแต่ไดมอนด์ริงท้อง ทุกอย่างก็ดูพิเศษไปหมด หิรัณย์ทุ่มเทให้เต็มที่ นับประสาอะไรกับภรรยาตัวเองที่กำลังตั้งท้องเหมือนกัน มีเหตุผลอะไรที่หิรัณย์จะไม่ดูแลเป็นพิเศษ รวมถึงกังวลเป็นพิเศษด้วย
“แซม ระวัง”
สุมิตราที่กำลังจะยกขาหลังของไดมอนด์ริงชะงัก โมโหในแวบแรกที่หิรัณย์ทำจังหวะการทำงานของเธอเสียไป แต่ปัดมันทิ้งไปได้ในแวบถัดมา พยายามเข้าใจว่าตอนนี้หิรัณย์เป็นห่วงเธอ เป็นห่วงลูก หมอม้าสาวยืดตัวขึ้น หันไปทางหิรัณย์ ซึ่งทำให้เห็นว่าตอนนี้คำนับอมยิ้ม ก้มหน้านิ่ง ดูออกว่ากำลังพยายามกลั้นขำ แต่ต้องทำเป็นไม่สนใจ รีบส่งยิ้มให้หิรัณย์ แล้วบอก “อยากกินอะไรไม่รู้”
หิรัณย์รีบถาม “อะไรล่ะ ค่อยๆ นึก นึกออกก็บอก”
สุมิตราใช้เวลานึกไม่ถึงสองวินาที “อยากกินคุกกี้อัลมอนด์แบบอัลมอนด์ตู้มๆ”
หิรัณย์มีสีหน้าลังเล “จะดีเหรอ แซมน่าจะเบาเรื่องของหวาน”
“ก็ทำแบบไม่หวานสิ”
หิรัณย์ถึงกับนิ่งไป ต่อให้ทำคุกกี้แบบไม่หวาน แต่ก็ยังเต็มไปด้วยของที่เขาไม่อยากให้สุมิตรากินตอนนี้ ไหนจะแป้ง ไหนจะเนยจะน้ำตาล ต่อให้เป็นของคุณภาพดีแต่ก็ยังถือว่าเป็นของที่อาจทำให้เกิดโทษกับการตั้งครรภ์ กำลังจะบอกให้เจ้าหล่อนเปลี่ยนใจอยากกินอย่างอื่นแทน ทว่าไม่ทัน อีกฝ่ายย้ำมาแล้ว
“อยากกินจริงๆ นะเนี่ย แค่คิดก็น้ำลายไหลแล้ว… ทำให้กินหน่อย ไม่กินเยอะหรอก ชิ้นเดียวก็ได้ แค่พอให้หายอยาก”
มองหน้าอ้อนวอนดวงตาร้องขอนั่นแล้ว ชายหนุ่มถึงกับถอนใจยาว ก่อนพยักหน้ารับ “ก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ทำให้กิน”
“ก็อยากกินตอนนี้นี่นา ถ้าเสกได้ก็เสกมาเดี๋ยวนี้เลย”
มันจะได้ได้ยังไง… แต่ถ้าจะให้ไวที่สุดเขาก็ต้องไปทำเลย เรื่องทำคุกกี้ยังไม่ยากเท่าเขาต้องไปคิดว่าจะทำยังไงให้สุมิตราได้กินของที่อยากกิน แล้วต้องกินได้แบบปลอดภัยด้วย หิรัณย์จึงหันไปบอกคำนับ “ช่วยหมอจนกว่าจะเสร็จงานนะ ห้ามแยกไป”
คำนับตอบรับ มองเจ้านายตนเดินห่างไปขณะมือลูบคอไดมอนด์ริง พอหิรัณย์ลับสายตาไปแล้วจึงหันมาทางสุมิตราที่ยกขาหลังไดมอนด์ริงเรียบร้อยแล้ว “หมออยากให้คุณหินไปห่างๆ ใช่ไหม”
สุมิตราหัวเราะหึ วางขาไดมอนด์ริงลงแล้วเดินไปยกอีกข้าง ก่อนตอบคำนับ “ใช่สิ ไม่งั้นไม่ต้องทำงานกัน”
และเธอก็ไม่ได้อยากกินคุกกี้หรอก แค่คิดว่ามันน่าจะใช้เวลาทำนานที่สุดเท่านั้นเอง!
หิรัณย์ได้สูตรคุกกี้ที่คิดว่าเหมาะกับสุมิตราแล้ว หลังค้นสูตรจากอินเทอร์เน็ตอยู่พักใหญ่ อ่านสูตรคุกกี้สายคลีนเป็นสิบสูตร ก็คัดเลือกมาหนึ่งสูตรซึ่งดูจากส่วนผสมแล้วคิดว่าดีที่สุดและน่าจะปรับสูตรให้มีรสชาติดีที่สุดได้ แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อความแน่ใจ หิรัณย์ก็โทรสายตรงหาวราลี ฝาแฝดของวินิทรา ภรรยาของชนัญญู วราลีเป็นเชฟซึ่งเชี่ยวชาญด้านของหวาน เขาเคยได้ชิมเค้กส้มกับพาฟโลวาฝีมือวราลีมาแล้วตอนตามสุมิตราไปซันแอนด์สกาย แล้ววราลีมาพักผ่อนกับสามีด้วยพอดี รสชาติของมันทำให้เขายกเป็นที่สุดตลอดกาล ประกอบกับการได้พูดคุยแล้วรู้ว่าหญิงสาวศึกษาด้านนี้อย่างจริงจังและมีหลักการ ไม่ใช่รู้จากการพังครัวเล่นอย่างเขายิ่งทำให้ทึ่ง
หิรัณย์เอ่ยปากถามทันทีที่อีกฝั่งรับสาย “สะดวกคุยไหมครับคุณวิว ไม่แน่ใจว่าจะคุยนานไหม”
“คุยได้ค่ะคุณหิน เดี๋ยวถ้าวิวต้องวางวิวจะบอกนะคะ มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“ผมจะปรึกษาเรื่องสูตรคุกกี้ แซมอยากกินคุกกี้อัลมอนด์ แต่ผมว่ามันจะไม่ค่อยดี” หิรัณย์กลัวเหมือนกันว่าปลายสายจะงุนงงทำให้ต้องอธิบายกันยืดยาวอีก แต่โชคดีที่วราลีตอบกลับทันที “ถ้าคุกกี้แบบคุกกี้เนยเน้นๆ แป้งเน้นๆ น้ำตาลรัวๆ ก็น่าจะไม่ดีกับพี่แซมตอนนี้จริงๆ แหละค่ะ”
“ครับ ผมเลยไปหาสูตรคุกกี้ข้าวโอ๊ตมา แบบที่ไม่ใช้แป้ง แต่ก็ยังกลัวว่ามันจะไม่อร่อย”
“ขอวิวรู้ส่วนผสมนิดค่ะ”
“มีแค่ข้าวโอ๊ต เนยอัลมอนด์ น้ำตาลทราย แต่ผมว่าจะใส่น้ำผึ้งแทนน้ำตาล คุณวิวว่าไงครับ” ปลายสายเงียบไปพักเพื่อครุ่นคิด ก่อนส่งเสียงมา “ได้ค่ะ แค่ระวังเรื่องส่วนผสมจะเหลวเกินไป อ๊ะ ครั้งก่อนคุณหินโทรมาถามสูตรทำนมอัลมอนด์ใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“ยังทำอยู่ไหมคะ”
“ทำครับ”
“มีเก็บเนื้ออัลมอนด์ไว้ไหม”
“เก็บแช่เย็นประมาณสามวันครับ เผื่อเอาไว้ทำพวกเพสโต”
“วิวว่าเอามาผสมแทนแป้งได้นะคะ อบไฟอ่อนๆ ก่อนสักนิดพอให้แห้งๆ หน่อย น่าจะช่วยป้องกันเรื่องส่วนผสมเหลวได้”
“โอเคครับ”
“คุณหินทำเนยอัลมอนด์เองด้วยใช่ไหมคะ”
“ครับ” เพราะวิธีทำเนยอัลมอนด์นั้นไม่ยาก และเขาคงไม่ต้องพูดเพราะวราลีคงรู้ดีอยู่แล้ว มันแค่เอาอัลมอนด์ที่คั่วสุกแล้วมาปั่นจนละเอียด ปรุงรสหรือใส่ส่วนผสมตามใจชอบ บางคนอาจเติมเกลือ เติมลูกเกด
“ถ้าอยากให้เนื้อเนียนๆ จะได้ผสมทำคุกกี้ง่ายๆ ก็ใส่น้ำมันมะพร้าวลงไปนิดหน่อยได้นะคะ ผสมน้ำผึ้งมาตั้งแต่ตอนทำเนยอัลมอนด์เลยก็ได้ แล้วมาใส่เพิ่มอีกนิดตอนผสมคุกกี้ ถ้าน้ำผึ้งดี อัลมอนด์ดี วิวว่าแค่นี้ก็อร่อยค่ะ”
หิรัณย์ส่งเสียงอืมอยู่ในลำคอ น้ำผึ้งกับอัลมอนด์เป็นของดีแน่อยู่แล้ว กระนั้นก็ยังถามน้ำเสียงไม่แน่ใจ “น่าจะอร่อยใช่ไหมครับ”
และปลายสายก็ดูจะรู้ดีถึงอารมณ์ของเขา จึงให้ความมั่นใจ “ต้องอร่อยอยู่แล้วค่ะ”
“ผมใช้พวกกล้วยหอม เบอร์รีอะไรแบบนี้ผสมลงไปดีไหม น่าจะพอดึงรสชาติได้”
วราลีชินกับการที่หิรัณย์คิดทุกอย่างไว้อยู่แล้ว แต่โทรมาถามเธอเพื่อความแน่ใจ ปกติแล้วหิรัณย์ไม่ถามเธอบ่อยนัก ยกเว้นต้องทำเมนูแปลกๆ จริงๆ แบบที่เขาจินตนาการรสชาติไม่ออก หรือรู้สึกได้ว่ามันต้องไม่อร่อยอย่างในคราวนี้… ใช้เวลาคิดครู่เดียววราลีก็ตอบได้ “ได้นะคะ น่าจะดีเลยแหละ แต่วิวก็ไม่แน่ใจนะคะ บอกตรงๆ ว่าวิวไม่เคยทำเบเกอรีสายคลีนเลย ลองแล้วผลเป็นไง คุณหินบอกวิวด้วยนะคะ เผื่อวิวจะเอามาทำให้พี่โรมบ้าง”
“ครับ หวังว่าจะอร่อย” เสียงเขาคงยังไม่ดีขึ้น ปลายสายจึงหัวเราะเบาๆ แล้วถามกลับมา “กลัวพี่แซมไม่ชอบเหรอคะ”
“ก็… ทำนองนั้นครับ ผมไม่เคยทำของไม่อร่อยให้แซม แต่นี่อ่านจากส่วนผสมก็พอเดารสชาติออก มันไม่น่าจะอร่อยแน่ๆ”
คนฟังยิ่งหัวเราะหนักขึ้น “ไม่จริงหรอกค่ะ คุณหินมีพรสวรรค์ออก ขนาดแค่บีบมะนาวใส่น้ำเปล่ายังกะสัดส่วนได้พอดี น้ำออกมาอร่อยเชียว อีกอย่าง… วิวว่าต่อให้ไม่อร่อย พี่แซมก็ต้องชอบค่ะ”
คราวนี้เป็นหิรัณย์ที่หัวเราะบ้าง “คุณวิวไม่เคยเจอแซมตอนกินของไม่อร่อย”
สุมิตราจะเจอของไม่อร่อยได้ก็ตอนไปกินอาหารนอกบ้าน อาจเป็นตอนไปรักษาม้าที่อื่น ถ้าไม่ไกลมากเขาจะเป็นคนขับรถไปให้จนได้รู้ ถ้าเจอของไม่อร่อย สุมิตราจะเริ่มจากอาการตาลอยก่อน จากนั้นก็จะห่อเหี่ยวซึมเซ็งแต่ก็ต้องฝืนกินให้พออิ่มเพื่อให้มีแรงทำงานต่อ หญิงสาวจะมีสภาพเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างจนกว่าจะได้กินของอร่อยอีกครั้ง หิรัณย์ว่ามันก็ตลกดีในบางครั้ง แต่ถ้าสุมิตรากินของที่เขาทำให้แล้วเกิดอาการแบบนั้น หิรัณย์คิดว่าตัวเองคงตลกไม่ออก
“ไม่เกี่ยวกับอร่อยไม่อร่อยหรอกค่ะ วิวว่าพี่แซมจะรู้ว่าคุณหินใส่ใจค่ะ”
หิรัณย์นิ่งไป ก่อนหัวเราะได้เบาๆ เมื่อนึกได้ว่าที่วราลีพูดนั้นถูก ต่อให้เขาทำไม่อร่อย สุมิตราก็คงไม่ทำอาการเหมือนตอนไปกินข้าวนอกบ้านแล้วเจอของไม่อร่อย “ครับ ขอบคุณนะครับ ได้เรื่องยังไงจะส่งข่าว”
วางสายเรียบร้อยแล้ว หิรัณย์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูภาพจากกล้องวงจรปิด เห็นสุมิตรากอดแนบแน่นอยู่กับไดมอนด์ริง โดยมีคำนับยืนอยู่ไม่ห่างตามคำสั่งของเขาก็ยิ้มได้ ตัดสินใจปิดหน้าจอเพราะไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่เป็นอันทำอะไร ระหว่างเตรียมของเพื่อทำเนยอัลมอนด์ก็ต่อสายหาพ่อที่เข้าไปซื้อของในเมืองกับบุษบัณ
“ว่าไงหิน”
“พ่อจะกลับหรือยัง”
“ใกล้ถึงบ้านแล้ว”
“เลยซูเปอร์ตรงก่อนเข้าบ้านเราหรือยัง”
“เนี่ย กำลังจะถึง จะเอาอะไรไหม”
“อยากได้พวกบลูเบอร์รี มัลเบอร์รี กล้วยหอม… ลูกเกดเราน่าจะยังมีอยู่เนอะ” พูดไปก็เปิดตู้ดูไปด้วย พอเจอก็บอกให้ปลายสายรู้ “ยังอยู่จริงๆ ลูกเกดไม่ต้องนะพ่อ”
“โอเค นี่จะทำอะไร”
“ทำคุกกี้ให้แซม”
“มันโอเคเหรอ”
“ก็เลือกสูตรที่มันดีต่อสุขภาพหน่อย ถ้าอันนี้เวิร์กน่าจะดีนะ พ่อจะได้กินได้ด้วย อ๊ะ” หิรัณย์ร้องเมื่อนึกอะไรได้ มันมีผลไม้ที่ให้ความหวานและยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย อีกอย่าง พ่อเขาก็ชอบด้วย “ถ้ามีอินทผลัมเอามาด้วยนะพ่อ”
“ได้เลย ถ้าจะเอาอะไรอีกก็โทรมานะ”
“ครับ” หิรัณย์ตอบรับแล้ววางสาย ขอเปิดภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อดูสุมิตราอีกทีแล้วเริ่มลงมือทำอาหาร
สำหรับหิรัณย์แล้ว อาหารไม่ใช่แค่อาหาร มันไม่เคยเป็นแค่อาหารเลย เขาให้ความสำคัญกับอาหารเพราะมันเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อร่างกาย ต่อสุขภาพ ถ้ากินไม่ดีแล้วจะให้อยู่ดีมันก็คงเป็นไปไม่ได้ หิรัณย์ถึงชอบคำว่า ‘กินดีอยู่ดี’ เอามากๆ แม้อาจจะเป็นคนละความหมายกับที่หลายๆ คนเข้าใจ
คนรอบตัวจะรู้ว่าเขาเรื่องมากกับเรื่องอาหารแค่ไหน แต่อันที่จริงแล้วหิรัณย์รู้ดี หากไม่ใช่ตัวเอง ไม่ใช่คนที่เขารัก หิรัณย์ไม่เคยยุ่ง อยากกินอะไรก็กินไปปากใครปากมัน ท้องใครท้องมัน และชีวิตใครชีวิตมัน แต่ถ้าเป็นคนที่เขารัก ต่อให้กำลังเหนื่อยสายตัวแทบขาดเขาก็ยินดีทำอาหารให้ ให้แน่ใจว่าคนสำคัญเหล่านั้นจะได้กินของดีๆ จริงๆ ดังนั้นอาหารสำหรับเขามันจึงหมายถึงความรักและความใส่ใจด้วย
อาจเพราะให้ความสำคัญกับอาหารนี่เอง ที่ทำให้เขาชอบแนวคิดของโรเบิร์ตเรื่องโภชนาการสำหรับม้า ซึ่งก็แยกไปอีกเป็นม้าใช้งานทั่วไป แม่ม้า ลูกม้า ม้ากีฬา ม้าป่วย ม้าชรา และเช่นกัน เขาดูแลเรื่องอาหารให้ม้าของเขาอย่างดีที่สุด เขาไม่ได้เลี้ยงม้าไว้เป็นของเล่น ของประดับบารมี หรือเลี้ยงไว้ให้ตัวเองดูเท่ดูดีโดยไม่ใส่ใจว่าอาหารการกินชีวิตความเป็นอยู่ของม้าจะมีคุณภาพหรือไม่ การที่ม้าเขาดูดี มีกล้ามเนื้อสวยงามก็เป็นความภูมิใจของเขา มันเป็นสิ่งที่ยืนยันชัดเจนว่าเขาเลี้ยงม้าด้วยความรัก…
และใช่ ที่ปลีกตัวมาทำคุกกี้ง่ายๆ ทำเหมือนไม่รู้เรื่องว่าโดนสุมิตรากันให้อยู่ห่างออกมาเพื่อให้เจ้าหล่อนทำงานสะดวก ที่ยอมทำอย่างนั้นก็เพราะรักเช่นกัน!
สุมิตราชะงักตอนกำลังจะออกจากคอกลูมอสแล้วเจอหิรัณย์ยืนเท้าสะเอวอยู่ สายตาของเขาที่มองมามีหลากหลายอารมณ์จนสุมิตราจำแนกแทบไม่ทัน เหนื่อยใจ โมโห เป็นห่วง พอมันรวมๆ อยู่บนใบหน้าเรียบนิ่งของเขา หมอม้าที่ว่าแน่ก็ยังต้องส่งยิ้มหวานให้เป็นทัพหน้า รอจนคำนับปลีกตัวไปอย่างรวดเร็วอย่างนกรู้แล้วจึงเอ่ยถามเสียงอ่อน “คุกกี้เสร็จแล้วเหรอ”
“ข้าวเย็นก็เสร็จแล้ว”
อะ… สุมิตราเสก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ แสร้งทำตาโตเพราะเธอเองก็พอรู้เวลาอยู่แล้ว เธอคิดว่าตรวจลูมอสเป็นตัวสุดท้ายแล้วจะกลับบ้าน ไม่คิดว่าจะตรวจและเล่นกับลูมอสเพลินขนาดนี้ ตอนนี้อีกครึ่งชั่วโมงก็จะหนึ่งทุ่มแล้ว
“ไม่หิวเหรอ”
สุมิตรายังทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเสียงเย็นๆ ที่ถามมา ตอบอย่างต้องการเอาตัวรอด “ช่วงบ่ายมาลีเอาข้าวหลามมาให้กิน ซัดไปสองกระบอก อยู่ท้องมากเลย”
“อ้อ ข้าวเย็นไม่ต้องกินก็ได้ใช่ไหม”
เท่านั้นสุมิตราก็หมดความอดทน ยกมือเท้าสะเอว “อย่าเยอะ ถ้าฉันไม่กินจริงๆ คนที่จะเป็นบ้าไม่ใช่ฉัน เหวี่ยงพอใจหรือยัง จะได้รีบเข้าบ้าน หิวแล้วเนี่ย”
เท่านั้นหิรัณย์ก็เม้มปากฉับ จากโมโหอยู่ดีๆ ก็กลับต้องเป็นฝ่ายง้อ ชายหนุ่มทำหน้างอ ก้าวเข้าไปควงแขนสุมิตราพาเดินเข้าบ้านขณะเอ่ยถาม “ไหนว่าอยากกินคุกกี้”
“ก็ยังอยากอยู่ ทำเสร็จแล้วเหรอ”
“อบไฟอ่อนซ้ำอยู่”
ซึ่งนั่นเป็นขั้นตอนที่ทำให้คุกกี้กรอบขึ้น สุมิตรายกมือขึ้นหยิกแก้มเขาส่ายไปมา “น่ารัก” ค่าที่จำได้ว่าเธอชอบกินแบบกรอบ หลังจากเธอบ่นไปครั้งเดียว เขาก็อบแบบกรอบแยกให้ทุกครั้งที่ทำคุกกี้ ก่อนต้องหัวเราะร่วนเพราะหิรัณย์ปัดมือเธอออกทันที บอกเสียงขุ่น
“สกปรก”
สุมิตราแหวพลางหัวเราะ “อะไร! ต้องว่ากันขนาดนี้เลยเหรอ”
“มันมีคำไหนให้ว่าอีกล่ะ มือแซมยังไม่ได้ล้างเลยนะ ตรวจม้ามากี่ตัวเนี่ย”
หญิงสาวยังคงหัวเราะอยู่ ขณะแกล้งเบียดตัวสกปรกของตัวเองใส่หิรัณย์และอีกฝ่ายก็แกล้งเซ ทว่าแขนที่โอบเอวเธอแน่นนั้นบอกชัดเจนว่าไม่ว่าจะเซจริงหรือไม่เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอล้ม
กระทั่งเดินเข้าบ้าน เห็นว่าเฮงกับบุษบัณกำลังจัดโต๊ะอยู่สุมิตราจึงรีบเดินตั้งใจจะเข้าไปช่วย ทว่าโดนหิรัณย์ดึงไปอีกทาง พลางบอกเสียงเข้ม
“ล้างมือก่อนเถอะคุณหมอ”
“จะไปช่วยหยิบจาน”
“จะวางยาให้ท้องเสียยกบ้านหรือไง”
สุมิตราหันไปเบ้ปากใส่หิรัณย์แล้วแยกไปล้างมือแต่โดยดี แล้วพอกลับมาทั้งเฮง บุษบัณ และหิรัณย์ก็ช่วยกันจัดโต๊ะเรียบร้อยแล้ว พอเห็นว่าเมนูวันนี้เป็นอะไรสุมิตราก็ถึงกับร้องหูอย่างดีใจ
บนโต๊ะมีปลาช่อนเผาสองตัว ตัวโตขนาดหัวและหางเลยจานเปลสิบหกนิ้ว มีผักต้มหลากหลายชนิดเต็มจานเปลขนาดสิบหกนิ้วเช่นกัน รวมไปถึงน้ำจิ้มหลากหลาย ทั้งน้ำจิ้มซีฟู้ด ซอสเพสโต น้ำปลาพริกแบบไทยๆ น้ำจิ้มแจ่ว น้ำพริกแมงดา น้ำพริกกะปิ มีน้ำพริกหนุ่มที่เธอชอบด้วย
“อย่ากินน้ำพริกเยอะนะแซม เดี๋ยวท้องเสีย”
สุมิตราหันไปค้อนใส่หิรัณย์ทันทีข้อหาดักคอกันอย่างรู้ทันเกินไป นอกจากปลาช่อนเผาแล้วยังมีไข่เจียวฟูฟ่องเหลืองกรอบน่ากิน ต้มยำไก่ ซึ่งดูสีแล้ว… “ทำไมต้มยำสีอ่อนแปลกๆ”
เฮงหัวเราะหึ บุ้ยปากไปทางหิรัณย์ “พ่อคนนั้นเขาว่าอย่าให้เผ็ดไป”
สุมิตราเลยได้ค้อนใส่หิรัณย์อีกรอบ สำหรับเธอแล้วต้มยำไม่เผ็ดคือต้มยำที่ไม่อร่อย!
“ปลานี่ก็เลือกเอง พ่อจะทำปลาแซลมอนก็ว่าไว้ก่อน ช่วงนี้ขอปลาน้ำจืด ผักทั้งหลายแหล่นี่ก็บอกว่าขอผักที่มีไฟเบอร์กับธาตุเหล็กเยอะๆ” เฮงเว้นช่วงเพื่อหัวเราะ “ใครจะไปรู้วะว่าต้องซื้อผักอะไร เลยต้องให้ลิสต์รายการมาให้ ให้พ่อไปซื้อที่สวนเพื่อนที่เป็นผักปลอดสารด้วย ตัวเองทำอะไร เฝ้าเมีย”
ตอนนี้ทุกคนล้วนหัวเราะร่วน ส่วนหิรัณย์แค่นั่งนิ่งๆ ตักปลาใส่จานสุมิตราเพราะพ่อมีบุษบัณตักให้อยู่แล้ว รอจนเสียงหัวเราะซาลงจึงค่อยพูด “จะไม่ให้เฝ้าก็ได้นะ เมียก็ไม่ได้อยากให้เฝ้าเท่าไรหรอก”
เฮงหัวเราะ รู้ว่าประโยคแรกลูกประชดเขาเพราะแต่แรกอยากเป็นคนไปเลือกผักเลือกปลาด้วยตัวเอง แต่เขาเป็นคนบอกให้คอยอยู่ดูแลสุมิตรา ส่วนประโยคหลังนั่นน่าจะประชดสุมิตรา ดูจากการที่เจ้าหล่อนกลอกตามองบนอยู่นั่นแล้วหันไปถามหิรัณย์
“สรุปรู้ทัน?”
“รู้”
บุษบัณถามอย่างอยากรู้ “รู้ทันอะไรกันเหรอ”
สุมิตราหัวเราะ “เมื่อบ่ายแซมบอกหินว่าอยากกินคุกกี้ ให้หินทำคุกกี้ให้กินค่ะ”
หิรัณย์เสริม “จริงๆ คือแซมแค่ไม่อยากให้ผมอยู่ด้วยตอนทำงาน”
“ก็หินประสาทเสียแล้วจะทำแซมประสาทเสียไปด้วย”
“ก็เป็นห่วงไง”
ดูจากหน้าตาที่เริ่มบึ้งหนักขึ้นเรื่อยๆ ของหิรัณย์แล้ว บุษบัณเริ่มเจื่อน ลอบสบตากับเฮงเป็นเชิงให้ช่วยหาทางไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ซึ่งคนเป็นพ่อที่กำลังจะได้ตำแหน่งปู่เพิ่มด้วยก็หัวเราะเบาๆ
“หินเอ๊ย จะเป็นพ่อคนอยู่แล้วยังจะขี้งอนอีก”
หิรัณย์พึมพำแค่ “งอนก็ใช่ว่าจะมีคนง้อ” แล้วไม่พูดอะไรอีก แกะปลาให้สุมิตราสลับกับตักผักให้ไปเรื่อยๆ คอยแย่งน้ำพริกจากสุมิตราตอนเห็นว่าเจ้าหล่อนตักเยอะเกินไปในหนึ่งคำ ทำเป็นไม่สนใจตอนสุมิตราหันไปมองเฮงแล้วทำหน้าเหมือน ‘ก็มันเป็นแบบนี้ถึงได้อยากให้ไปไกลๆ’
ซึ่งเฮงก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างขบขัน หันไปส่งยิ้มให้บุษบัณแล้วตักอาหารให้แทนการบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงใครทั้งนั้น สองคนนี้ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ เป็นเรื่องปกติ เหมือนเป็นกิจกรรมสันทนาการประจำครอบครัว ควรชินได้แล้ว แต่แค่ช่วงนี้ทะเลาะกันบ่อยขึ้นเท่านั้นเอง
แล้วพอของคาวจบไป สุมิตราก็ทวงทันที “คุกกี้ๆๆๆ”
หิรัณย์ขยับไปทางถาดคุกกี้ที่วางอยู่อีกทาง สุมิตรารีบลุกหยิบจานแล้วเดินไปประกบ หน้านิ่วตอนเห็นว่าคุกกี้ของหิรัณย์หน้าตาไม่เหมือนเดิม “นี่ก็หน้าตาแปลกๆ”
หิรัณย์เฉลยให้ขณะบิคุกกี้เอาเข้าปากเพื่อชิมรส “คุกกี้ข้าวโอ๊ต”
สุมิตราถึงกับหน้าเบ้ “ไม่เคยกินแล้วอร่อยเลย”
คนทำถึงกับหันมองหน้า เอ่ยถามเสียงขุ่น “กินก่อนได้ไหมล่ะค่อยตัดสิน ผมเคยทำของไม่อร่อยให้แซมเหรอ”
สุมิตราเหลือบมองคุกกี้ในจานที่หิรัณย์กำลังจัดวาง อดบอกไม่ได้ “อาจจะครั้งนี้ก็ได้นะ”
ชายหนุ่มส่งเสียงจึ้กจั้กอยู่ในลำคอ เอาจานคุกกี้มาวางกลางโต๊ะ อธิบายให้ทุกคนฟัง “ตัวนี้เป็นคุกกี้ไร้แป้ง ใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาล ใช้เนยอัลมอนด์แทนเนยทั่วไป ผสมผลไม้ลงไปด้วย ไม่รู้จะชอบกันไหม”
หิรัณย์กินไปพร้อมๆ กับทุกคน รู้สึกว่ารสชาติไม่ได้แย่เลย โดยเฉพาะตัวบลูเบอร์รี ค่อนข้างกลมกล่อมกว่าตัวอื่นมากทีเดียว จึงชี้เป้าให้ทุกคน “ผมว่าตัวบลูเบอร์รีอร่อยสุด”
เฮงที่ชิมครบหมดแล้วบอกได้ทันที “พ่อชอบอินทผลัม แต่จริงๆ พ่อก็ชอบอินทผลัมมากกว่าพวกเบอร์รีอยู่แล้วด้วย”
บุษบัณช่วยเสริม “บุษก็ชอบอินทผลัมนะคะ รู้สึกว่ามันหวานๆ ตัดกับตัวคุกกี้ที่มันๆ ดีค่ะ แซมชอบอันไหนที่สุด”
ไร้เสียงใดตอบรับ หลังเกิดความเงียบอยู่ครู่หิรัณย์ก็ถามสุมิตราตรงๆ “ไม่อร่อยเหรอ”
สุมิตราตอบไปอีกทาง “ทำแบบเดิมก็ได้ กินแค่ชิ้นเดียวจะเป็นไรไป”
สองสามีภรรยามองหน้ากันนิ่ง และคราวนี้เฮงรู้ว่ามันไม่ใช่การทะเลาะกันเล่นๆ อีกแล้ว จึงพูดอย่างพยายามเกลี้ยกล่อม
“หิน แซม ใจเย็นๆ คุกกี้อันนี้ก็ดี แต่ถ้าเทียบกับแบบเดิม แบบเดิมมันก็อร่อยกว่าอยู่แล้ว… ไว้ค่อยทำใหม่พรุ่งนี้ก็ได้”
หิรัณย์ลุกขึ้นยืนพร้อมพูดโพล่ง “ไม่ทำแล้ว” แล้วหันหลังเดินเข้าห้องไปด้วยลักษณะของคนที่โมโหเต็มที่ ส่วนสุมิตราก็บอกไล่หลัง “ไม่อยากกินแล้วเหมือนกันแหละ”
เฮงถึงกับกุมขมับ หันมาถามสุมิตราคล้ายกับอยากรู้ว่าเจ้าหล่อนไม่พอใจเรื่องอะไรกันแน่ “แซมไม่ชอบคุกกี้เลยเหรอ”
สุมิตราถอนใจเฮือก ระงับความโกรธกรุ่นของตนลง แล้วหันมาตอบผู้อาวุโสเสียงอ่อน “มันอร่อยค่ะ แซมแค่ไม่ชอบที่หินบังคับแซมขนาดนี้”
เฮงกับบุษบัณหันมองหน้ากัน ก่อนเป็นบุษบัณที่หันมาคุยกับสุมิตรา “มันอึดอัด พี่เข้าใจ… แต่นี่ดีกับตัวแซมนะ ตอนแรกที่รู้ว่าหินจะทำคุกกี้สูตรพิเศษให้ พี่ยังคิดในใจว่าหินใส่ใจดีจัง”
พูดไปแล้วก็ต้องตกใจ เพราะคนฟังอย่างสุมิตราน้ำตาคลอหน่วยขึ้นในนาทีนั้น และไม่นานมันก็หยดไหล ซึ่งจะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เธอเห็นสุมิตราร้องไห้ต่อหน้าต่อตา
“แซมรู้ค่ะ แซมก็อยากทำให้มันดีกว่านี้… แซมคงหงุดหงิดมาตั้งแต่กลางวันด้วยที่หินชอบขัดจังหวะตอนแซมทำงาน”
บุษบัณรู้ว่าพูดไปก็อาจทำร้ายจิตใจ แต่ก็ต้องพูด “ก็เพราะห่วงแซมกับลูกไงจ๊ะ”
สุมิตรายิ่งหน้าเบ้ น้ำตาหยดเผาะ แต่พอเห็นว่าทั้งเฮงทั้งบุษบัณมองมาอย่างเป็นห่วงก็รีบเช็ดน้ำตาให้หมดไป พยายามส่งยิ้มให้ “ค่ะ… งั้นแซมไปคุยกับหินก่อนนะ”
บุษบัณพยักหน้ารับ ส่วนเฮงสะบัดมือคล้ายจะไล่ นั่งมองสุมิตราเดินเข้าห้องไปแล้วจึงหันมาทางบุษบัณซึ่งบอกเสียงเบา “บุษเพิ่งรู้สึกว่าแซมก็เป็นผู้หญิงเมื่อกี้เองค่ะ”
เฮงหัวเราะร่วน บอกสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้แล้ว “คนท้องก็งี้แหละ”
เดี๋ยวเขาคงต้องบอกหิรัณย์ไว้ด้วยว่าอย่าขี้ใจน้อยช่วงนี้ ไม่อย่างนั้นบ้านจะแตกเอา!
สุมิตราเดินเข้าห้องแล้วโล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่หิรัณย์อยู่ในห้องน้ำ อย่างน้อยก็จะได้มีเวลาเตรียมใจว่าจะง้อเขาอย่างไรดี เพราะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่หิรัณย์โกรธจนถึงขั้นเดินหนี ปกติแล้วพอทะเลาะกันถึงจุดหนึ่งเขาก็จะยอมลงให้ เข้ามากอด เข้ามาง้อเพื่อทำให้เธออารมณ์ดีขึ้น
ครั้งนี้เธอทำกับเขาเกินไปจริงๆ มันไม่ใช่แค่การบอกเป็นนัยๆ ว่าคุกกี้ไม่อร่อย แต่มันคือการบอกว่าความรักและความใส่ใจของเขาไม่มีค่า ว่าแต่… เธอจะง้อเขาอย่างไรดีล่ะ
หญิงสาวเริ่มต้นด้วยการต่อโทรศัพท์เข้ากับลำโพงบลูทูธในห้องนอน ปิดแจ้งเตือนโทรศัพท์เพื่อป้องกันเสียงรบกวน เลือกรายการเพลงที่หิรัณย์ชอบเปิดรอไว้กะว่าพอเขาออกมาจากห้องน้ำจะได้อารมณ์ดีเพราะเขาต้องรู้ว่าเธอเอาใจ พอได้ยินเสียงน้ำกระทบพื้นก็รู้ว่าเขาอาบน้ำไม่ใช่ทำธุระอย่างอื่น ก็ดี เธอจะได้หาทางคิดไปเรื่อยๆ
สุมิตราคิดไปคิดมาแล้วคิดไม่ออก เกิดอยากได้ตัวช่วยจึงส่งข้อความเข้ากลุ่มสนทนาออนไลน์ที่มีแสงฉานกับชนัญญูกับภรรยาของเพื่อนเป็นสมาชิกเท่านั้น ซึ่งต้องไล่หานานพอสมควรเพราะหลังๆ จะคุยกันในกลุ่มที่มีหิรัณย์อยู่ด้วยมากกว่า
‘ง้อสามียังไงดี แนะนำหน่อย’
รอครู่เดียวก็อ่านกันครบ ฟุ้งฟ้าส่งข้อความกลับมาก่อน ‘ทะเลาะกันเหรอคะ’
วินิทราส่งตามมาติดๆ ‘เรื่องใหญ่เหรอคะ’
ตามด้วยแสงฉาน ‘ง้อแฟนมันยากกว่ารักษาม้าเหรอหมอ’
ชนัญญูเสริมมา ‘น่าจะเหมือนๆ กับง้อม้าแหละมั้ง’
สุมิตราถึงกับมองบน พิมพ์ข้อความตอบกลับไป ‘รู้งี้คุยแค่กับฟุ้งกับวินดีกว่า ไม่น่าปรึกษาพวกแกด้วยเลย Unsend ข้อความตอนนี้ทันไหม’
แสงฉานส่งเลขห้ามาราวสิบตัว ก่อนตอกย้ำ ‘ไม่ทันโว้ย ทะเลาะกันเรื่องอะไร’
‘ฉันงี่เง่าเองแหละ ฉันอยากกินคุกกี้ หินก็ทำให้แต่ทำแบบคลีนๆ ให้กิน ไร้แป้งไร้น้ำตาล’
ส่งประโยคนั้นไปแล้วฟุ้งฟ้าก็พิมพ์กลับมา ‘ฟุ้งเคยกิน มันไม่อร่อยยย เป็นฟุ้งฟุ้งก็โกรธ’
สุมิตราจึงพิมพ์ต่อ ‘หินทำอร่อยแหละฟุ้ง’
เกิดเดดแอร์ในหน้าต่างการสนทนาอยู่หลายวินาที แล้วพอวินิทราบอกสิ่งหนึ่งให้สุมิตรารู้ ก็ยิ่งทำให้สุมิตรารู้สึกผิด
‘คุณหินโทรไปปรึกษาวิวนะคะ เมื่อเย็นตอนคุยโทรศัพท์กันวิวเล่าให้ฟังอยู่ ยังบอกว่าอิจฉาพี่แซม เพราะคุณหินดูทุกรายละเอียดเลย’
‘เดี๋ยวนะ’ เป็นชนัญญูที่พิมพ์มาอย่างนั้น ตามด้วยคำถามแสดงความสงสัย ‘แกอยากกินคุกกี้ หินก็ทำให้ อร่อยด้วย แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน’
‘ก็บอกแล้วว่าฉันงี่เง่าเอง อยู่ๆ ฉันก็คิดว่าแบบเดิมอร่อยกว่า ทำไมต้องทำแบบใหม่ ทำไมต้องกะเกณฑ์ด้วยว่าฉันต้องกินแบบไหน’
แสงฉานกับชนัญญูพากันส่งข้อความนี้มาราวกับแป้นพิมพ์เสีย ‘?????????’
และแสงฉานคงซ่อมแป้นพิมพ์ได้ก่อน จึงพิมพ์เป็นประโยคที่อ่านได้เข้าใจมากขึ้น ‘อะไรของแกวะ’
ตามด้วยชนัญญู ‘แซมก็รู้ตัวอยู่’
ว่างี่เง่า… ใช่ แต่ก็เกลียดเพื่อนชะมัด และเป็นฟุ้งฟ้าที่ชี้ให้สุมิตรารู้อีกหนึ่งปัญหาที่เธอจำเป็นต้องตระหนักและควบคุมให้ได้ก่อนทุกอย่างจะแย่ไปกว่านี้
‘ปกติพี่แซมไม่เป็น น่าจะเกี่ยวกับฮอร์โมนไหมคะ’
‘อาจใช่ เมื่อกี้อยู่ๆ พี่ก็ร้องไห้ ต่อหน้าพ่อกับพี่บุษเลย’
‘ไม่แปลกหรอกค่ะ ตอนฟุ้งท้องนี่ร้องไห้บ่อยมาก จากพี่ซันสติแตกกลายเป็นชินไปเลย’
แสงฉานพิมพ์แย้งมา ‘ไม่ได้ชิน แค่เก็บอาการเก่งขึ้น’
ชนัญญูเป็นคนดึงบทสนทนาให้เข้าที่เข้าทาง ‘แกเลยต้องมาถามวิธีง้อหินเหรอ’
‘ก็… ไม่รู้ว่าจะง้อยังไงดี ปกติเราไม่เคยทะเลาะกันถึงขั้นนี้ หินยอมฉันก่อนตลอด เลยไม่รู้จะเริ่มยังไง’
เกิดความสงบเงียบขึ้นอีกครั้งในหน้าต่างบทสนทนา ครู่ใหญ่ก็มีคลิปเสียงส่งเข้ามาจากแสงฉาน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ปกติหากแสงฉานต้องการสื่อสารอะไรยาวๆ และขี้เกียจพิมพ์ สุมิตรายังไม่ได้กดฟังเพราะประตูห้องน้ำเปิดขึ้นเสียก่อน หันไปมองก็เห็นว่าหิรัณย์ชะงักไปพอเห็นว่าเธออยู่ในห้องด้วย ปกติเขาควรจะต้องส่งยิ้มให้เธอ แต่นี่เขาเมินไปแล้วเดินหนีไปทางตู้เสื้อผ้า
หากเป็นปกติสุมิตราก็จะบอกไปว่า ‘ไม่ง้อนะยะ’ แต่ครั้งนี้ไม่ปกติ และสุมิตราไม่มีความคิดอยากทำอย่างนั้นเลยเพราะแน่ใจว่ามันจะต้องทำให้เรื่องแย่ไปกันใหญ่
หญิงสาวถอนใจเฮือก กดข้อความเสียงจากเพื่อนฟัง
‘ถ้าแกรู้ตัวว่าผิดแกก็แค่ขอโทษ’
สุมิตราตาลุก…
‘ไม่ต้องมาถามพวกฉันให้ยุ่งยากว่าจะง้อสามียังไง’
เธอลืมไปว่า…
‘มนุษย์ผู้ชายอย่างพวกฉันง้อไม่ยากหรอก’
เธอต่อลำโพงบลูทูธอยู่…
‘ไม่ต้องมีดอกไม้ ของขวัญบ้าบออะไร ไม่ต้องคุกเข่าอ้อนวอนด้วย ก็แค่บอกไปว่าขอโทษ’
สุมิตราลุกพรวดวิ่งไปทางลำโพงหวังจะปิดมัน ก่อนนึกได้ว่าเธอแค่ปิดข้อความเสียงในโทรศัพท์ก็ได้ แต่ขณะกำลังจิ้มหน้าจอมือไม้สั่นโทรศัพท์ก็โดนช่วงชิงไปโดยหิรัณย์ ซึ่งเขาก็กดจิ้มหน้าจอหนึ่งที ส่วนเธอก็ได้แต่ยืนมองหน้าเขาขณะในใจสาปแช่งเพื่อนที่ดันพูดเสียยาวเหยียด
‘หินน่ะรักแกมาก แล้วฉันก็รู้ว่าแกก็รักหินมากเหมือนกัน คนรักกันไม่ต้องท่านั้นท่านี้ อยากขอโทษก็บอกไปตรงๆ หินมันง้อแกมาตลอดเลยนะ แกจะลองง้อหินสักครั้งมันเสียหายมากเหรอ’
พอได้แล้ว ไอ้เพื่อนรักกกกก… และเสียงแสงฉานก็เงียบไปจริงๆ เป็นการบอกว่าข้อความเสียงของเพื่อนจบแต่เพียงเท่านี้ ทว่าหิรัณย์กดอีกครั้งเป็นการบอกว่ามีอีกหนึ่งข้อความ คราวนี้เป็นเสียงชนัญญู
‘เห็นด้วยกับซัน’
หิรัณย์กดอีก ทำเอาสุมิตราตาเหลือก ยังมีอีกเรอะ!
‘เห็นด้วยกับพี่ช้างค่ะ’ นั่นเสียงวินิทรา… และหิรัณย์ก็กดอีก ‘เห็นด้วยกับพี่วินค่ะ’ ปิดท้ายด้วยเสียงฟุ้งฟ้า
น่าจะไม่มีแล้ว… เพราะหิรัณย์กดโทรศัพท์แล้วส่งข้อความเสียงกลับไป
“ขอบคุณทุกคนนะครับ ฝากลากผมเข้ากลุ่มนี้ด้วยได้ไหม”
หิรัณย์จ้องหน้าจออยู่ครู่เดียว หน้าจอก็ขึ้นเตือนว่าแสงฉานลากเขาเข้ากลุ่มแล้วอย่างรวดเร็วรอเพียงแค่กดรับเท่านั้น หิรัณย์ส่งข้อความเสียงไปอีก “ไว้ผมจะเล่าให้ฟังว่าแซมง้อผมยังไง”
จากนั้นหิรัณย์ก็ไล่อ่านข้อความจนรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วค่อยปิดหน้าจอโทรศัพท์ของสุมิตรา ยืนมองสุมิตรานิ่ง พักหนึ่งก็เอ่ยถามน้ำเสียงยียวน “ยังไงล่ะ”
สุมิตรายังเงียบ หิรัณย์จึงย้ำไปอีก “ยังไงล่ะ จะง้อด้วยการเงียบเหรอ”
“อย่างกับตัวเองไม่เคยทำ”
หิรัณย์ถึงกับต้องกลั้นยิ้ม พยายามทำหน้าขึงขังขณะพูด “นี่หาเรื่อง?”
สุมิตราค้อนใส่หิรัณย์ ก่อนอุบอิบบอก “รู้ว่าหายโกรธแล้ว”
“ไม่ได้แปลว่าไม่อยากเห็นแซมง้อนะ” พูดไปแล้วก็กลับต้องเป็นฝ่ายเข้าไปกอดสุมิตราเสียเอง เมื่ออยู่ๆ ภรรยาผู้แข็งแกร่งของเขาก็ร้องไห้ หัวเราะเบาๆ แล้วถามอย่างไม่แน่ใจ “ที่บอกว่าร้องไห้ต่อหน้าพ่อกับคุณบุษนี่ จริงเหรอ”
“อ้าว เห็นแซมเป็นคนขี้โกหกเหรอ”
หิรัณย์กอดสุมิตราแน่นขึ้น ลูบแขนเบาๆ อย่างต้องการสงบอารมณ์หญิงสาว “เปล่า แค่ไม่อยากเชื่อ… ฮอร์โมนจริงๆ สินะ”
“คงใช่มั้ง ไม่รู้เหมือนกัน”
“ขอโทษนะ”
ฮื้อ… สุมิตรามองหน้าหิรัณย์ นิ่วหน้าอย่างไม่เข้าใจ
“ขอโทษที่ลืมคิดไป ในหนังสือคู่มือก็บอกอยู่เรื่องอารมณ์แปรปรวน ไม่น่าโกรธแซมเลย”
สุมิตรากลับยิ่งร้องไห้หนักขึ้น หิรัณย์เองก็กอดเธอแน่นขึ้น “อย่าทำให้แซมรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ได้ไหม ครั้งนี้แซมผิดเอง แซมต้องเป็นฝ่ายขอโทษ”
คนฟังหัวเราะ “ไม่เห็นสำคัญเลย แซมไม่ต้องง้อหรอก… ผมก็จู้จี้กับแซมเกินไป”
“ยังอีก” ยังทำให้เธอรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่อีกกกก
หิรัณย์หัวเราะดังขึ้น จูบหน้าผากสุมิตราหนักๆ ก่อนบอก “พรุ่งนี้ทำคุกกี้สูตรเดิมให้กินนะ”
สุมิตรายิ้มได้ ก่อนส่ายหน้า “ไม่ต้อง ที่ทำวันนี้ยังไม่หมดเลย”
“ไม่ชอบนี่”
“ชอบ อร่อยดี… ดีกับลูกด้วย”
หิรัณย์ยิ้มกว้าง และมีรอยยิ้มตลอดเวลาตอนภรรยาเริ่ม ‘ง้อ’ อย่างเป็นทางการ
“ขอบคุณนะ อุตส่าห์โทรไปถามวิวเรื่องสูตรคุกกี้ด้วย กลัวแซมไม่ชอบใช่ไหม”
คนได้รับคำถามเพียงพยักหน้าเป็นคำตอบ เอานิ้วสางผมสุมิตราแผ่วเบา เอ็นดูคนที่พูดแล้วทำหน้าจ๋อยให้เห็นอยู่นี่
“แซมรู้นะว่าหินรัก รักมากด้วย ไม่งั้นหินคงไม่ต้องลำบากกับของที่แซมจะกิน ขอโทษที่ทำตัวงี่เง่านะ”
“ผมก็รู้ว่าแซมรัก ไม่งั้นแซมคงไม่ง้อ”
สุมิตราหัวเราะได้ กอดหิรัณย์แน่นก่อนผละออกมาบอกสิ่งที่เขามักจะทำ ตอนเขาอาบน้ำแล้วแต่เธอยังแล้วมีการนัวเนียเกิดขึ้น “ต้องอาบน้ำใหม่ไหม”
“อาบ… อาบพร้อมแซมนี่แหละ”
สุมิตรายกแขนเพื่อช่วยให้หิรัณย์ถอดเสื้อเธอได้ง่ายขึ้น ก่อนหัวเราะร่วนเมื่อหิรัณย์บอกอย่างฉวยโอกาส
“หยุดกินเบคอนกับหมูสามชั้นก่อนนะ”
“ไหนว่าอยากให้กินผักเยอะๆ”
หิรัณย์นิ่วหน้า พูดอย่างไม่ทันคิดอะไร “ไม่เห็นเกี่ยวนี่”
“เบคอนกับหมูสามชั้นเป็นผัก!”
“เดี๋ยว…” หิรัณย์พูดได้แค่นั้นและได้แต่ฟังอีกฝ่ายแถต่อ
“ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ถ้าใจเราว่ามันเป็นผักมันก็คือผัก”
“ไม่ใช่แล้ว!”
และสองเสียงหัวเราะก็ประสานกันดังลั่นอันเป็นสัญญาณบอกให้คนนอกห้องรู้
คู่สามีภรรยาที่ทะเลาะกันเพราะเรื่องคุกกี้ คืนดีกันเรียบร้อย!
เรื่องสั้นคุกกี้เสี่ยงรัก เคยตีพิมพ์ในรวมเรื่องสั้น “อ่านโอชา” ของทางเว็บอ่านเอา ค่ะ แบบเล่มจำหน่ายหมดแล้ว หากใครสนใจอ่านเรื่องอื่นๆ ในเล่ม สามารถซื้อ อีบุ๊กอ่านโอชา ได้ที่ Meb ค่ะ